วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ลินคอร์น ผู้แพ้ที่ “ยิ่งใหญ่”



คุณเคยทำสิ่งที่ผิดพลาดในชีวิตหรือไม่?”
                แน่นอนว่าทุกคนย่อมตอบว่า เคยเพราะคงไม่มีใครไม่เคยผิดพลาดเลยในชีวิต สอบเอนทรานซ์ไม่ติด ทำงานผิดพลาด เลิกกับแฟน การค้าขาดทุน ฯลฯ สถานการณ์แย่ ๆ เหล่านี้ทำให้เราต้องคิดหาทางออกที่ต่างกันไป บางคนแก้ไขได้ก็ผ่านพ้นไปด้วยดี แต่ถ้าไม่ อาจทำให้เกิดสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าขอเพียงแต่เราใช้ สติตั้งรับปัญหาและความล้มเหลวที่เกิดขึ้นด้วยวิธีการที่ไม่ยากอย่างที่คิด ลองดูตัวอย่างต่อไปนี้
                ชายคนหนึ่ง ทำธุรกิจล้มเหลว ตอนอายุ 21 ปี / สอบกฎหมายไม่ผ่าน ตอนอายุ 22 ปี / ทำธุรกิจล้มเหลวอีกครั้ง ตอนอายุ 24 ปี จนต้องทำงานชำระหนี้สิน ที่หุ้นส่วนได้ก่อไว้เป็นเวลาถึง 17 ปี / เกิดอาการทางประสาท เมื่ออายุ 27 ปี / เมื่ออายุ 34 ปี ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกรัฐสภาแห่ง "อิลลินอยด์" เขาประสบความปราชัยอย่างย่อยยับ และเมื่อเขารักกับผู้หญิงคนหนึ่ง หมั้นหมายกันเรียบร้อยแล้ว ยังไม่ทันจะแต่งงานเธอก็เสียชีวิตลง เขาได้หวนกลับมาเล่นการเมืองอีกครั้ง พอสมัครรับเลือกตั้งก็พ่ายแพ้การเลือกตั้งเรื่อยมา ซ้ำแล้วซ้ำอีก หลายต่อหลายครั้ง
                เขาล้มเหลว...อยู่ตลอดเวลา จนแทบจะตั้งตัวไม่ติดเลย แต่เขาก็สามารถใช้ "ความพยายาม" เผชิญกับอุปสรรคทั้งหลายทั้งปวงได้ ไม่ว่าอะไร จะเกิดขึ้นเขาก็ไม่สิ้นความพยายาม คุณรู้ไหมว่า...เขาคนนั้นคือใคร เขา..ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา เมื่อตอนอายุ 52 ปี... เขาคือ อับราฮัม ลินคอล์น นั่นเอง
ผมก้าวเดินไปอย่างช้าๆ แต่ไม่เคยถอยหลัง
                ประธานาธิบดีลินคอล์น ไม่สนใจความล้มเหลวที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าและเดินหน้ามุ่งสู่เป้าหมาย ทำให้เขากลายเป็นตำนานที่ทุกคนจดจำจนถึงทุกวันนี้ เขาเป็นบุคคล1ใน4ของรูปปั้นที่ภูเขาเมาท์รัชมอร์ รูปปั้นที่แสดงถึงประชาธิปไตยแห่งสหรัฐอเมริกา ลินคอล์น เกิดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 1809 ในกระท่อมไม้ซุงใกล้ๆ กับฮอดเยนวิล เคนตั๊กกี้ บิดามารดาเป็นคนเอาการเอางาน แต่ด้อยการศึกษา การเรียนในโรงเรียนมีเพียงเล็กน้อย แต่ที่ท่านสามารถจะทำเมื่อมีโอกาสคือการยืมหนังสือต่างๆมาอ่าน ลินคอล์นแต่งงานกับ แมรี่ ท็อด ซึ่งมาจากตระกูลดั้งเดิมของเคนตั๊กกี้ เธอเป็นคนฉลาด แต่ก็เจ้าอารมณ์ แต่เธอก็คอยสนับสนุนเจตนารมณ์ของสามีตลอดเมื่อลินคอร์นได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาเขาต้องประสบพบเจอกับปัญหาเกี่ยวกับนโยบายของเขาเองนั่นก็คือการเลิกทาสมีการต่อต้านมากมายเกิดขึ้นเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นและสงครามนี้ได้สิ้นสุดลงเมื่อลินคอร์นถูกลอบสังหารโศกนาฏกรรมได้จบลงพร้อมกับชัยชนะของคนคนหนึ่ง สิ่งที่เขาทิ้งไว้เบื้องหลังก็คือการรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวของชาติและอิสระชนและในวันนี้ชื่อของเขาได้ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของชนชาติชาวอเมริกาและชาวโลกว่า เป็นผู้แพ้ที่ไม่เคยแพ้ เป็นผู้แพ้ที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาล อัมบราฮัม  ลินคอร์น


โดย : นางสาวจิตสุภา สงคง เลขที่  34
ที่มา :
ภัทระ  ฉลาดแพทย์และธีระวุฒิ  ปัญญา.  ข้าพเจ้าชื่อ.... ลินคอร์น.  กรุงเทพฯ  : แฮปปี้บุ๊ค,2556
จูนิเปอร์  ซี.  อาถรรพ์ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาลินคอร์น เคเนดี้[ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก :                 teen.mthai.com/variety/47548.html.  ( วันที่สืบค้นข้อมูล : 28  พฤศจิกายน  2556 )
               



นูจู๊ด แม่หม้ายวัยสิบขวบ


                เรื่องจริงของเด็กหญิงชาวเยเมนวัยเพียง 10 ขวบ เธอถูกพ่อจับแต่งงานและต้องตกนรกทั้งเป็น ในที่สุดเธอตัดสินใจกระทำการที่ไม่มีใครคาดคิดว่าเด็กวัยนี้จะลุกขึ้นมาทำ นั่นคือไปหาศาลเพื่อขอความยุติธรรมด้วยตัวเธอเอง เรื่องราวของเธอเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลกจนกระทั่งได้รับรางวัลสตรีแห่งปีร่วมกับ นิโคล คิดแมน ดาราภาพยนตร์ และ ฮิลลารี คลินตัน วุฒิสมาชิกเมื่อปี 2008

โดย : นางสาวนัฐพร  เกื้อฉิม เลขที่ 19
ที่มา :
กมลพรรณ  เอียดเจริญ. (2526). นูจู๊ด  หนูจะหย่า.  กรุงเทพมหานคร  : บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์
                พับลิชซิ่ง จำกัด มหาชน
นภัสสร. ชีวิตหนูจู๊ด. (ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก :
                http : napatsorn. Noojood/Posts. (สืบค้นวันที่  22 พฤศจิกายน )
ผสุดี  วิเรกขา .  Singie mom. (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก :

                http : www. Polypoll today/life of noojood ( สืบค้นวันที่  15 พฤศจิกายน 2556)

จิตสิ่งที่วิทยาศาสตร์มองไม่เห็น


ไม่มีใครที่ไม่รู้จักเขา  บิดาแห่งจิตวิเคราะห์ผู้เลื่องชื่อ......
ซิกมุนด์  ฟรอยด์ (Sigmund  Freud)
บิดาแห่งจิตวิเคราะห์  ผู้คิดค้นทฤษฎีจิตวิเคราะห์ที่สะท้านวงการจิตวิทยาของโลก
                                ฟรอยด์  เป็นชาวออสเตรเลีย  เชื้อสายยิว  เป็นเพื่อนสนิทกับ อัลเบิร์ต  ไอน์สไตน์  เมื่อถึงครั้งที่ฮิตเลอร์บุกยึดยุโรป   ไอน์สไตน์ไปอาศัยอยู่ที่สหรัฐอเมริกา  ในขณะที่ฟรอยด์ไปอาศยอยู่ที่อังกฤษ 
และสิ้นชีพที่นั้นด้วยโรคมะเร็ง
                                และแม้ว่าในปัจจุบันจะมีนักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียงเกิดขึ้นมากมาย  แต่ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของซิกมุนด์  ฟรอยด์  ก็ยังคงเป็นที่ยอมรับและรู้จักกันดีของคนทั่วโลก 
                                ซิกมุนด์  ฟรอยด์   ได้แบ่งจิตมนุษย์ออกเป็น 3 ระดับด้วยรูปก้อนน้ำแข็งลอยน้ำ  คือ
                                1.จิตสำนึก (conscious) เป็นส่วนที่เข้าใจง่ายที่สุด เปรียบเสมือนก้อนน้ำแข็งที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำ มองเห็นได้ เข้าใจง่าย สัมผัสได้ เป็นส่วนที่ปรากฏออกสู่สังคมในชีวิตประจำวัน รวมไปถึงการตัดสินใจ การมีอารมณ์ และความรู้สึกต่างๆ
                                2.จิตกึ่งสำนึก (preconscious) เป็นส่วนที่สามารถระลึกรู้ได้ เปรียบเสมือนก้อนน้ำแข็งส่วนที่อยู่ใต้ผิวน้ำปริ่มๆ จิตส่วนนี้สามารถหลุดมาเป็นจิตสำนึกได้
                                3.จิตใต้สำนึก (unconscious) เป็นส่วนที่รับรู้ได้ยาก เปรียบเสมือนก้อนน้ำแข็งใต้ผิวน้ำ เป็นส่วนที่ฝังลึกอยู่ภายใต้จิตใจ มีการเก็บกดเอาไว้ไม่ให้แสดงออกมา จิตส่วนนี้จะแสดงออกมาในยามพลั้งเผลอ ขณะหลับ ขณะฝัน เป็นส่วนของสัญชาตญาณ ไม่สนใจเรื่องของเวลา เหตุผล ความขัดแย้ง จิตส่วนนี้เป็นส่วนที่สำคัญมากที่สุด เพราะจิตส่วนนี้ คือ รากฐานของจิต
                                ความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้น จิตสำนึกบางส่วนจะส่งต่อความรู้สึกเหล่านั้นไปยังจิตกึ่งสำนึก เพื่อส่งต่อไปเก็บไว้ในจิตใต้สำนึก
                                เด็กหญิงคนหนึ่ง ได้พบฝูงแมลงสาบบริเวณบ้านของเธอ แมลงสาบบินว่อน เต็มไปหมด เธอกรีดร้อง และโวยวาย ส่งผลให้ตอนนี้เธอโตขึ้น  เธอกลายเป็นคนที่กลัวแมลงสาบมาก  แม้แมลงสาบจะมาแค่เพียงตัวเดียว  เมื่อเธอเห็นเธอก็จะร้องกรี๊ด  และโวยวายเป็นประจำ  เหตุที่เป็นเช่นนี้  เพราะความรู้สึกแรกที่เธอเจอแมลงสาบนั้นได้ถูกส่งต่อไปเก็บไว้ในจิตใต้สำนึก  และเมื่อเธอพบแมลงสาบอีกครั้ง  ก็จะทำให้จิตใต้สำนึกของเธอพลั้งเผลอ  แสดงเป็นสัญชาตญาณออกมา
                                นอกจากนี้ฟรอยด์ยังแบ่งจิตออกเป็น 3 แบบ คือ
                                1.อิด (Id) เป็นสัญชาตญาณดิบในสัตว์ทั้งหลาย อยู่ในระดับของจิตใต้สำนึก อิดนี้ ถ้าเป็นในเดรัจฉานจะแสดงออกมาให้เห็น แต่ถ้าเป็นมนุษย์จะไม่แสดงออกมาให้เห็นเพราะ ถูกกดเก็บเอาไว้
                                 2. อีโก้ (Ego) เป็นส่วนของความคิดและสติ เป็นส่วนที่ใช้ควบคุมอิด
                                3. ซุปเปอร์อีโก้ (Superego) เป็นส่วนที่ได้รับการขัดเกลาทางสังคม การรู้ ผิดชอบชั่วดี รู้ว่าสิ่งใดควรละสิ่งใดไม่ควร
                                ซุปเปอร์อีโก้จะทำหน้าที่ยับยั้งอิด เพื่อให้อีแสดงออกมาอย่างเหมาะสม
                                ทฤษฎีทางจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์นั้นมักจะกล่าวถึงจิตใต้สำนึกว่าจะมีในช่วงวัยเด็ก ก็คือ ตั้งแต่แรกเกิด จนถึงอายุ 8 ขวบ ความทรงจำในวัยเด็ก จะผันเปลี่ยนไปเป็นการแสดงออก พฤติกรรมและสัญชาตญาณ ในวัยผู้ใหญ่  เพราะวัยเดกเปรียบเสมือนผ้าขาว  หากมีความรู้สึกเกิดขึ้น ก็จะทำให้เกิดสีบนผ้าขาวโดยทันที

โดย : นางสาวพัชรินทร์  วิลาศลักษณ์ เลขที่ 25
 ที่มา :
ทันตแพทย์สม สุจีรา.(2552).เกิดเพราะกรรมหรือความซวย. กรุงเทพมหานคร:บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้ง      แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด มหาชน

อาจารย์บุญมี  พวงเพชร.(2554).หลายสิ่งที่พระพุทธเจ้ารู้ ไอน์สไตน์ไม่เคยพบ ซิกมันด์ ฟรอยด์ไม่เคยเห็น ชาล์ล ดาร์วินไม่เคยเจอ.นนทบุรี:บริษัท ธิงค์ บียอนด์ บุ๊คส์จำกัด

บูเช็คเทียนฮ่องเต้หญิงองค์แรกและองค์เดียวของจีน


                       ในสมัยโบราณ ผู้หญิง เป็นเพศที่มักถูกกำหนดให้อยู่เบื้องหลังเสมอ แต่ต่างจากพระนางบูเช็คเทียน ซึ่งเป็นหญิงที่ประวัติศาสตร์จีนต้องจารึกไว้ในความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว เหี้ยมโหด อย่างผู้ชายอกสามศอกยังต้องถอย  เพราะนางคือผู้ที่ก้าวขึ้นมาเป็น ฮ่องเต้สตรีองค์แรก และองค์เดียวของจีน !
                พระนางบูเช็คเทียนเกิดมาจากครอบครัวสามัญชน นามเดิมก่อนที่นางจะได้เข้าไปอยู่ในพระราช สำนักคือ บูเหม่ยเหนียงแปลว่า โฉมงามเลอเสน่ห์ ด้วยอายุเพียง 14 ปี กิตติศัพท์ความงามของนางก็ลือลั่นไปทั่ว จนรู้ไปถึงพระกรรณพระเจ้าถังไทจง ฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ถัง ทำให้นางได้เข้ารับราชการในตำแหน่ง ไฉเหริน หรือก็คือ สนมเล็ก ๆ นั่นเอง เมื่อเข้าวังบูเหม่ยเหนียงต้องเผชิญกับการแก่งแย่งชิงดี การทรยศ หักหลัง ความริษยา อำนาจและลาภยศ รวมทั้งเรื่องของความรัก แต่สุดท้ายนางก็ได้ทำทุกวิถีทางจนสามารถขึ้นมาเป็นฮ่องเต้ได้ ไม่เว้นแม้กระทั่งทำลายเลือดเนื้อเชื้อไขลูกในไส้ของตนเอง เพื่อป้ายความผิดให้กับฮองเฮาด้วยความที่นางเกิดมาในสมัยที่ผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้าผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง ไม่มีสิทธิ์มีเสียงแต่บูเช็คเทียนกลับตาลปัตรมานำหน้า ทั้งยังหาความสำราญให้ตัวเองแบบที่ไม่มีผู้หญิงคนไหนกล้าทำ ผู้คนก็เลยพูดถึงพระนางในแง่ลบ ว่าเป็นคนเลวร้ายมักมากในกามคุณมักใหญ่ใฝ่สูง อำมหิตโหดร้าย ฆ่าคนยังกับผักปลา แต่นางกลับปกครองแผ่นดินที่กว้างใหญ่และพลเมืองมากที่สุดในโลกได้อย่างไม่น่าเชื่อ

โดย : นางสาวพีรญา เพาะผล เลขที่ 26
ที่มา :
บุญศักดิ์  แสงระวี.  (2549).  ฮ่องเต้หญิงบูเช็คเทียนหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์จีน.  กรุงเทพมหานคร  :  สุขภาพใจ
เล่าชวนหัว.  (2543).  เปิดอกบูเช็คเทียน.  กรุงเทพมหานคร  :  เคล็ดไทย
กิเลน  ประลองเชิง.  (2544. 24 มกราคม).  ปริศนาหน้าหลุมศพ...บูเช็คเทียน.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก :                 m.thaitrah.co.th/content/pol/143461.(วันที่สืบค้นข้อมูล  :  21 พฤศจิกายน 2556)
นายกระบี่พลิ้ว.  (2548.2 พฤษภาคม).  ยลโฉม บูเช็คเทียนที่มรดกโลก ถ้ำหินหลงเหมิน.[ออนไลน์]  เข้าถึงได้จาก  :  www.manager.co.th/Travel/News.(วันที่สืบค้นข้อมูล : 20 พฤศจิกายน 2556)

มหาราช.  (2553.5 กุมภาพันธ์ ).  พระราชประวัติจักรพรรดิบูเช็คเทียนฮ่องเต้หญิงผู้ยิ่งใหญ่องค์เดียวใน ประวัติศาสตร์จีน.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก  :  www.yodyyut.com/topic.php.(วันที่สืบค้นข้อมูล :20  พฤศจิกายน  2556)

แชมป์โลกหมากรุก เจ้ากลยุทธ์เกมกระดาน


                        
                    แกร์รี่ คาสปารอฟ เป็นนักหมากรุกชาวรัสเซีย เกิด 13 เมษายน 1963 เริ่มเล่นหมากรุกอย่างจริงจังเมื่ออายุได้ 7 ขวบ โดยผู้ที่สอนให้คือพ่อ และแม่คาสปารอพอายุเพียง 13 ปี คาสปารอฟก็ได้รับตำแหน่งที่ 3 ในการแข่งขัน World Cadet Cup ประเทศฝรั่งเศส ปี 1976 โดยก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครที่ได้เป็นตัวแทนประเทศรัสเซียในอายุ 13 ปีมาก่อน และในปีต่อมาเขาก็สร้างปรากฏการณ์อันลือลั่นอีกครั้ง เมื่อพิชิตตำแหน่งชนะเลิศ USSR Junior Championship ด้วยคะแนนที่เหลือเชื่อคือ 8.5/9 ปลายปี 1985 แกร์รี่คาสปารอฟได้ท้าชิงแชมป์โลก และได้รับชัยชนะทำให้เขาได้รับตำแหน่งแชมป์โลกด้วยอายุเพียง22 ปี 7 เดือน นับเป็นแชมป์โลกอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ ศึกที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกนั้น คือการแข่งขันเอาชนะซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ดีพบลู ในปี 1996 และเขายังเป็นที่รู้จักกันในฐานะผู้เป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่สนใจในการเล่นหมารุกทั่วโลก ด้วยการแข่งขันกับผู้ที่สนใจการเล่นหมากรุกทั่วโลกผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ด้วยการครองแชมป์โลกถึง 15 ปี และศึกต่างๆมากมาย ทำให้เขาได้รับการกล่าวขานว่า เป็น "แชมป์โลกหมากรุกที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์"

โดย : นายพันธวิส ขุนทองจันทร์ เลขที่ 2
ที่มา :
ศล. หมากกระดาน . [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก  :   http//www.blog.com/ศล/หมากกระดาน
                (สืบค้นวันที่  25  พฤศจิกายน  2556)
ศรีธนนชัย. มารู้จัก kasparov กันหน่อยมีบทสัมภาษณ์ด้วยน่ะ . [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก :                 http://medinfo.psu.ac.th/pr/WebBoard/readboard.php?id=9446 (สืบค้นวันที่ 26 พฤศจิกายน 2556 )

อเล็กซานเดอร์มหาราชชาตินักรบ


                   เมื่อพูดถึงการสร้างสรรค์ ย่อมหลีกเลี่ยงเรื่องการทำลายไม่ได้ ทำลายแล้วสร้างสรรค์ สร้างสรรค์แล้วทำลาย ทำลายเพื่อสร้างสรรค์ และสร้างสรรค์เพื่อทำลาย วนเวียนเป็นวัฏจักรไปเรื่อยๆ นับแต่ครั้งอดีตกาลนานมาแล้วนั้นการที่อารยธรรมใหม่จะถือกำเนิดขึ้นมาได้นั้นอารยธรรมเก่าต้องล่มสลายก่อนดังคำกล่าวที่ว่า "ทุกๆความสำเร็จย่อมก่อตัวมาจากเถ้าถ่านของความล้มเหลว" และในครั้งนี้เราจะกล่าวถึงมหาบุรุษผู้ที่ได้ชื่อว่า เป็นนักทำลายล้างหรือฆาตกรสังหารหมู่ผู้คนไปมากที่สุดในโลกคนหนึ่ง แต่ในอีกแง่มุมหนึ่ง เค้าคือผู้สร้างสรรค์อารยธรรม ความรุ่งเรืองให้แก่โลกเป็นอันมาก มหาบุรุษ ผู้ที่ถูกขานชื่อว่าเป็น "มหาราช" อเล็กซานเดอร์ บุตรแห่งฟิลลิป กษัตริย์แห่งแคว้นมาซิโดเนียสืบทอดราชบัลลังก์ต่อจาก ฟิลิปที่ 2 แห่งมาซิโดเนีย เมื่อปีที่ 336 ก่อนคริสตกาลโดยได้สืบทอดบัลลังค์ต่อจากบิดาที่โดนลอบสังหาร มีอาจารย์ชื่อ อาริสโตเติลเป็นนักปรัชญากรีกโบราณพระเจ้าฟิลิปทรงนำแว่นแคว้นกรีกโดยมากบนแผ่นดินใหญ่กรีซให้ มาอยู่ภายใต้การปกครองของมาซิโดเนียแต่อเล็กซานเดอร์ นั้นสืบทอด้จตนารมณืผู้พิชิต จากผู้พ่ออย่างเต็มเปี่ยม และล้นไปด้วยประสิทธิภาพ ความทันสมัยด้านการใช้อาวุธยิ่งกว่าเขาดาหน้าเข้าบุกยึดแผ่นดินต่างๆเช่นดินแดนเอเชียไมเนอร์ภายใต้การปกครองของอาณาจักรเปอร์เซีย ซีเรีย อียิปต์ เมโสโปเตเมีย เปอร์เซีย และแบคเทรียเข้ามารวมไว้ในแผ่นดินกรีกโบราณ จนได้รับการกล่าวขานว่าไม่มีอาณาจักรใดให้พิชิตอีกแล้วและต้องการเข้ายึดอินเดียที่มีกองทัพช้างที่แข็งแกร่งและ เป็นป่าดงดิบที่ทุรกันดารจนทหารของเขาเบื่อหน่ายต่อการสู้รบ คึดถึงบ้าน จำใจต้องเลิกทัพไปในที่สุด ในปีที่ 323ก่อนคริสตกาล อเล็กซานเดอร์ ได้สั่งระดมพลที่กรุงบาบิโลนเพื่อจะทำสงครามในแถบคาบสมุทรอาระเบีย และ มาดูสุสานฝังศพเฮพาเอสเชียน ข้าอันเป็นที่รักแต่พระองค์ก็ทรงประชวรกระทันหันและประชวรอยู่อย่างนั้นอยู่หลายวัน และสวรรคตขณะพระชนมายุเพียง 33 พระชันษาหลัง พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช สิ้นพระชนน์ลงก็เกิดสงครามแบ่งแยกอำนาจของบรรดาเหล่านายพลนายทหาร คนสำคัญของเขาจนแบ่งแยกเป็นเป็นแผ่นดินเล็กแผ่นดินน้อยมากมายหรือใครที่มีอำนาจหน่อยก็สามารถครองอาณาจักร ใหญ่ๆได้

โดย : นายฐานิศ คงภักดี เลขที่ 1
ที่มา :

มปต. อเล็กซานเดอร์มหาราช . [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก  :  http://th.wikipedia.org/wiki/อเล็กซานเดอร์มหาราช (สืบค้นวันที่  28  พฤศจิกายน  2556)

จิตทัศน์นอสตราดามุส


หลังจากตึกเวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์ที่สหรัฐอเมริกาถล่มในปี ค.ศ. 2001 โลกของเราก็เปลี่ยนไปจนไม่อาจกลับมาสู่จุดเดิมได้ ทั้งสงครามบุกยึดอิรัก อัฟกานิสถาน การทำลายล้างด้วยอาวุธนิวเคลียร์ อาวุธเคมี อีกทั้งสภาพอากาศที่แปรปรวน เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ หาได้รอดพ้นจากจิตทัศน์ของบุคคลผู้นี้ "นอสตราดามุส"
ใครจะรู้บ้างว่านอสตราดามุสนอกจากเขาจะเป็นโหราจารณ์เอกของโลกแล้ว เขายังเป็นทั้งนักคิด นักสมุนไพร แพทย์ปริญาบัตร นักวิทยาศาสตร์ นอสตราดามุสเดิมชื่อ มิเชล เดอ นอสเตรดัม เกิดในตระกูลของชาร์คและเรมี เดิมตระกูลของเขาเป็นชาวยิวที่ต้องอพยพมาอาศัยอยู่ในฝรั่งเศสจึงถูกเข้ารีตเป็นคริสต์ แต่ภายในบ้านยังคงประกอบพิธีกรรมของชาวยิวอยู่อย่างลับๆ ซึ่งนั้นเป็นการทำให้นอสตราดามุสรู้จักที่จะเอาตัวรอดในสังคม เพราะในสมัยนั้น คำสอนใดที่ขัดต่อศาสนาจะถูกสอบสวนและอาจถูกลงโทษได้ นอสตราดามุสในสมัยเรียนเขาชอบดูดวงให้เพื่อนๆ จนได้รับสมญานามว่า "เจ้าโหรน้อย" และนั้นกลับกลายเป็นทำให้พ่อเขากลุ้มใจที่ลูกชายเบนเข็มไปทางด้านนั้น แต่ปู่ของเขาเข้าใจจึงแนะนำให้เขาเรียนหมอเพราะจะได้ช่วยเหลือคน และสามารถที่จะศึกษาด้านโหราศาสตร์ที่ตนเองจนใจได้ และในที่สุดก็ได้ศึกษาด้านการแพทย์ที่มหาลัยมองเปลีเยร์ เมื่อจบการศึกษา ตอนนั้นฝรั่งเศสได้เกิดโรคระบาด ด้วยความที่เป็นบัญฑิตใหม่ร้อนวิชาจึงได้ตระเวนช่วยออกรักษาคนไข้ และได้แต่งงานกับภรรยาคนแรก มีลูกด้วยกัน ชีวิตในช่วงนี้ของเขาเป็นช่วงที่มีความสุขมาก แต่นั้นนะสิ ชีวิตคนเราไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ฝรั่งเศสได้เกิดโรคระบาดอีกครั้ง นอสตราดามุสจึงได้ตระเวนออกรักษาผู้คน โดยหารู้ไม่ว่าภัยร้ายกำลังเข้ามาใกล้ครอบครัว วันหนึ่งหลังจากออกไปรักษาคนไข้ กลับมาเจอลูกเมียตนเองนอนป่วย เขาได้ใช้ทุกวิธี เทคนิคทุกอย่างที่เขามี แต่ก็ไม่สามารถช่วยชีวิตคนที่เขารักที่สุดได้ นอกจากนี้ฝ่ายญาติภรรญษก็ฟ้องร้องเรื่องสมบัติ ชีวิตช่วงนั้นของเขาวุ่นวาย ทำให้เขาหายตัวไปพักนึง และนั่นก็เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาสนใจโหราศาสตร์มากขึ้น วันหนึ่งเขาได้ปรากฏตัวขึ้น และได้ผ่านพระฟรานซิสกลุ่มหนึ่งและหันไปมองพระรูปหนึ่ง ทราบชื่อว่าบราเดอร์เพอเรตติ นอสตรามุสก้มลงกราบบนพื้นที่เปียกแฉะ และพูดสั้นๆว่า "ขอให้ข้าได้มีโอกาสถวายตัว และนมัสการท่านเถิด" และเขายืนยันว่าพระรูปนี้จะได้เป็นองค์สันตะปาปาแห่งนครรัฐวาติกัน คนแถวนั้นต่างก็หัวเราะเพราะใครจะคิดล่ะคนเลี้ยงสุกรจะได้เป็นองค์สันตะปาปา และเหตุการณ์นี้ก็ได้เกิดขึ้นหลังจากจากที่นอสตราดามุสได้เสียชีวิตไปแล้วกว่า 19 ปี  ฝรั่งเศสก็เกิดโรคระบาดอีกครั้งนอสตราดามุสก็ได้ช่วยเหลือผู้คนและได้แต่งงานใหม่กับหญิงหม้ายฐานะดี กลางวันก็ได้เป็นหมอรักษาคนไข้ แต่พระอาทิตย์ตกดินเขาก็ขึ้นห้องส่วนตัวใต้หลังคาเพื่อศึกษาโหราศาสตร์ และเขาได้เขียนหนังสือคำทำนายเล่มแรก คือ เดอะเซนจูรี โดยเขียนเป็นโคลงสี่แถว เขาเริ่มบทแรกด้วยความมั่นใจว่า "จะมีการค้นพบสิ่งที่หายไป ซ้อนเร้นอยู่หลายศตวรรษ ปาสเตอร์จะถูกเหยียดย่ำเกียรติด้วยข่าวลือ ในขณะเดียวกันก็จะถูกยกย่องให้เป็นมนุษย์กึ่งเทพ ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นเมื่อครบรอบใหญ่ของดวงจันทร์" นั่นก็คือเหตุการณ์ที่ หลุยส์  ปาสเตอร์ ค้นพบจุลชีวไมโครไบโอโลยี ซึ่งในตอนแรกทุกคนหาว่าเขาบ้าแต่เขาก็ได้นำความรู้นี้ไปแก้ปัญหาที่โรงงานไวน์ ทำให้เขาถูกยกย่องว่าเป็นมนุษย์กึ่งเทพ เมื่อคำนวณเวลาครบรอบของดวงจันทร์ก็ตรงกับเหตุการณ์พอดี
                นอกจากนี้ยังมีคำทำนายมากมายที่เขาได้ทำนายไว้เกี่ยวกับมนุษยชาติ ซึ่งหากเรารู้คำทำนายแล้วเราวิตกกังวลมากเกินไป ก็ไม่ดีกับตัวเรา แต่ถ้าหากเรารู้แล้วใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท แค่นี้ชีวิตเราก็จะพบแต่ความสุขที่แท้จริง

โดย : นางสาวกันยารัตน์ ตาดทอง เลขที่ 9

ที่มา :ศาสตราจารย์เจริญ วรรธนะสิน. นอสตราดามุส. ครั้งที่ 25. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ดอกหญ้า 2000, 2554